ความท้าทาย 7 ประชาชาติของพระเจ้า

เรื่องของเอลีทำให้เราเห็นว่า แม้แต่ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อของพระเจ้าก็เข้าใจผิดได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเห็นได้จากบุคคลในพระคัมภีร์หลายๆ คนหรือแม้แต่ในชีวิตของเราเอง ไม่มีผู้นำที่เป็นมนุษย์คนไหนสมบูรณ์พร้อม เมื่อบุตรชายทั้งหลายของเอลีไม่ดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงเลือกเด็กหนุ่มชื่อซามูเอลให้พูดกับเอลี และในที่สุดก็รับหน้าที่แทนเอลีเป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณของชาวอิสราเอล


ซามูเอลเป็นผู้วินิจฉัยคนสุดท้ายของอิสราเอล ตอนนี้คนอิสราเอลต้องการมีกษัตริย์เหมือนชนชาติอื่นๆ ดูเหมือนผู้เขียนพระคัมภีร์เดิมจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการเปลี่ยนไปปกครองแบบกษัตริย์ แต่อย่างน้อย การมีกษัตริย์ก็คือการมีผู้นำที่ฉลาดและยุติธรรม และให้ความรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในชาติที่ไม่เคยมีในสมัยผู้วินิจฉัย ซาอูลเริ่มต้นดี แต่เมื่อไม่เชื่อฟัง สุดท้ายก็ถูกริบสิทธิในการครองบัลลังก์


สำหรับผู้ที่จะมาเป็นผู้นำ พระเจ้ากำหนดว่าต้องเป็นคนที่เชื่อฟัง ยอมจำนนและสัตย์ซื่อ ดาวิดมีคุณสมบัติเหล่านี้ แม้ต่อมาเขาจะทำผิด ดาวิดสัตย์ซื่อกับพระเจ้า เชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะทรงทำพระประสงค์ของพระองค์สำหรับเขาให้สำเร็จ และเขาพร้อมจะรออย่างอดทนโดยไม่จัดการสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง แม้ซาอูลพยายามจะฆ่าเขา แต่ดาวิดก็ตอบสนองด้วยการไว้ชีวิตซาอูล ซึ่งเป็นเหตุการณ์หนึ่งในหลายๆ เหตุการณ์ที่ทำให้เห็นว่า ดาวิดติดสนิทกับพระเจ้า ในที่สุด ดาวิดก็ได้เป็นกษัตริย์ ทำให้ชนชาติอิสราเอลได้มีช่วงเวลาที่เจริญรุ่งเรืองอย่างสูง กษัตริย์ของอิสราเอลที่ดีสำแดงให้เห็นคุณลักษณะของการปกครองของพระเจ้า และแสดงให้เห็นกษัตริย์ที่สมบูรณ์แบบในอนาคต คือ องค์พระเยซู


เชื่อมโยง: เรื่องราวทั้งห้าในความท้าทายนี้

มีหลายวิธีที่จะสำรวจความท้าทาย 7


คุณอาจชอบอ่านเรื่องราวตามลำดับเหตุการณ์ อย่างที่เรียงไว้เป็นข้อๆ นี้


▪ ซามูเอลเด็กหนุ่มผู้ได้ยินเสียงพระเจ้าพูดกับเขาและเติบโตเป็นผู้วินิจฉัยที่นำประชาชาติและเผยพระวจนะของพระเจ้า

▪ ประชาชนต้องการกษัตริย์ พระเจ้าจึงตรัสกับซามูเอลให้เลือกซาอูล เขาเป็นกษัตริย์ที่ดีในตอนแรกแต่ภายหลังเขากลับไม่เชื่อฟังพระเจ้า

▪ ดาวิดได้ฆ่าศัตรูของประชาชาติของพระเจ้า นั้นคือโกลิอัท ผู้คนต่างปลามปลื้ม ในทางกลับกัน ดาวิดกลายเป็นศัตรูของกษัตริย์ซาอูลเพราะเขาอิจฉาวีรบุรุษหนุ่มคนนี้

▪ ใขณะที่ซาอูลกำลังตามล่าดาวิดเพื่อจะฆ่า- แต่ทันทีที่ดาวิดมีโอกาสฆ่าซาอูล เขากลับเลือกที่จะไม่ทำ- ซาอูลจึงยอมรับในความผิด

▪ กษัตริย์ดาวิดได้รับสารพิเศษจากพระเจ้าเกี่ยวกับอนาคต


หรือ เริ่มด้วยเรื่องหลักอย่าง ‘ดาวิดและโกลิอัท’ ในหนังสือ Big Bible Challenge และต่อด้วยการมองย้อนว่าอะไรนำเหตุการณ์นี้-และผลลัพธ์เกิดอะไรขึ้น การต่อสู้ของดาวิดเป็นเรื่องที่โด่งดังในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นเรื่องของเด็กหนุ่มที่ชื่อดาวิดผู้ได้เตรียมที่จะลองทำสิ่งท้าท้ายที่ดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้เลย แต่เพราะพระเจ้าอยู่กับเขาจึงทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลับเป็นไปได้ ซึ่งเป็นตอนสำคัญของเรื่องดาวิด-และของประวัติศาสตร์โลกด้วย เด็กหนุ่มคนนี้กลายเป็นกษัตริย์คนที่สองของอิสราเอล


คุณอาจอยากข้ามไปอ่านความท้าทาย 9 ซึ่งมีทั้งบทเพลงสดุดีที่เขียนโดยดาวิด คุณสามารถอ่านสดุดี 23 ไปพร้อมกับความท้าทาย 7 เพื่อเด็กจะสามารถเชื่อมโยงระหว่างประวัติของกษัตริย์ดาวิดผู้เป็นคนเลี้ยงแกะกับงานเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา

 


 

ใคร่ครวญ: ความท้าทายนี้มีความหมายอย่างไรในปัจจุบัน

เด็กและผู้ใหญ่พูดและรู้สึกเหมือนกัน ‘ปัญหานี้ใหญ่เกินไปสำหรับฉัน’

 

ในชีวิตเรามีเรื่องท้าท้ายที่ใหญ่มากมายและมันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เรื่องราวต่างๆ ในความท้าทาย 7 หนุนใจเราเมื่อเผชิญกับ ‘ยักษ์’ เหล่านั้น

▪ พระเจ้ารู้และเป็นห่วงในทุกสถานการณ์ที่คุณเผชิญ

▪ ถึงแม้ว่าในโลกนี้จะเต็มไปด้วยสิ่งชั่วร้ายและความผิดพลาดแต่พระเจ้าทรงมีอิทธิฤทธิ์มากกว่าพลังความชั่วร้ายนั้นโดยการตายและการเป็นขึ้นมาของพระเยซูจึงมีชัยเหนือสิ่งนี้ อย่างไรก็ตามการต่อสู้นี้ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกว่าพระเยซูคริสต์จะกลับมา-ซึ่งเมื่ออยู่ข้างพระเจ้าก็มีชัยชนะ

▪ การวางใจพระเจ้าไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่รู้สึกกลัว การอธิษฐานเป็นเครื่องมือที่มีอิทธิฤทธิ์ที่คุณสามารถบอกพระเจ้าว่าคุณรู้สึกอะไรอยู่และขอพระเจ้าช่วยในเหตุการณ์นั้น

 

เรื่องราวเกี่ยวกับดาวิดในความท้าทาย 7 บอกถึงการปกป้องของพระเจ้าต่อกษัตริย์ที่พระองค์ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับดาวิดเมื่อเขาถูกตามล่าด้วยหอกแหลมคมทั่วทั้งประเทศจากซาอูล ทั้งที่ซาอูลโหดร้ายและแข็งแกร่ง ดาวิดกลับอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเขา ดาวิดปฎิญาณที่จะติดตามทางพระเจ้าและไม่ทำร้ายกษัตริย์ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ ความสัตย์ซื่อของดาวิดนี้แสดงถึงความเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่และผู้ติดตามพระเจ้าที่สัตย์ซื่อ

 

พระเจ้าปกป้องดาวิด นั่นหมายความว่าเราก็สามารถรับรู้ถึงการปกป้องที่มาจากพระเจ้าใช่ไหม? พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า ‘เราได้สลักเจ้าไว้บนฝ่ามือของเรา’ อิสยาห์ 49:16; และดาวิดเขียนในพระธรรมสดุดี: ‘ข้าพระองค์ลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์จนกว่าภัยอันตรายเหล่านี้จะผ่านพ้นไป’ (สดุดี 57:1) เรามั่นใจได้จากเรื่องราวของดาวิดและจากพระวจนะของพระเจ้าว่า พระองค์ทรงอยู่กับเราและปลอบโยนในเวลาที่พบกับปัญหา

 

ไขข้อข้องใจ: คำถามที่เด็กๆ อาจถามเกี่ยวกับความท้าทายนี้

 แต่หนูเป็นแค่เด็ก

เรื่องราวของทั้งซามูเอลและดาวิดผู้ซึ่งเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มทำให้รู้ว่าอายุไม่ใช่อุปสรรคที่พระเจ้าจะทรงเลือกผู้ที่จะเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพระองค์ ผู้ที่ได้ยินเสียงพระเจ้าคือเด็กหนุ่มซามูเอลผู้ถูกเลือก ไม่ใช่ผู้ที่ถูกเจิมอย่างปุโรหิตเอลี สิ่งสำคัญไม่ใช่อายุหรือความสามารถแต่อยู่ที่ว่าเราพร้อมให้พระเจ้าใช้หรือไม่ พระองค์ทรงเลือกผู้ที่เด็กที่สุดในครอบครัวเจสซีเพื่อจะเป็นผู้นำประชาชาติคนต่อไป

 

 หนูจะได้ยินเสียงพระเจ้าเหมือนซามูเอลไหม?

ในพระคัมภีร์เดิมเต็มไปด้วยตัวอย่างที่พระเจ้าสื่อสารกับประชาชาติของพระองค์ทั้งในรูปเสียงพูดกับคน เสียงดังจากสวรรค์ พุ่มไม้ที่ไหม้ไฟ ทูตสวรรค์ ความฝัน นิมิต และอื่นๆ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าและทรงเลือกที่จะสื่อสารกับประชาชนของพระองค์ตามแบบที่ทรงพอพระทัย ในปัจจุบันพระเจ้าตรัสผ่านด้วยวิธีที่เรียบง่าย ฮีบรู 1:1-2 กล่าวว่า “นาน​มา​แล้ว​พระ​เจ้า​ตรัส​กับ​บรรพ​บุรุษ​ของ​เรา​หลาย​ครั้ง และ​หลาย​วิธี​ผ่าน​ทาง​พวก​ผู้​เผย​พระ​วจนะ แต่​ใน​วาระ​สุด​ท้าย​นี้​พระ​องค์​ตรัส​กับ​เรา​ทาง​พระ​บุตร” ปัจจุบันบางคนอาจได้ยินเสียงของพระองค์ เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ดูเหมือนว่าเราได้ยินเสียงของพระเจ้า หรือเมื่อพูดคุยกับพี่น้องคริสเตียนและฟังเสียงที่อ่อนโยนของพระองค์ตรัสผ่านความคิดและจิตใจในขณะที่เราใช้เวลากับพระเจ้า

 

 ทำไมซามูเอลต้องจูบและเอาน้ำมันเทลงบนหัวซาอูล?

ประเพณีหนึ่งที่พบบ่อยในพระคัมภีร์คือ ‘เจิม’ ผู้คนหรือสิ่งของ พิธีกรรมนี้รวมถึงการเทน้ำมันเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และการแยกไว้เพื่องานของพระเจ้า การจูบบนแก้มเป็นการทักทายที่ใช้กันมากและเป็นสัญลักษณ์ของการให้เกียรติด้วย ในทางเดียวกันคริสเตียนปัจจุบันบางคนจูบแหวนของผู้นำในคริสตจักรของเขา

 

 


คุย: กับพระเจ้า

การเรียนรู้ในการฟังนั้นใช้เวลาฝึกฝนเหมือนการเรียนรู้สิ่งอื่นๆ เด็กจำเป็นต้องได้รับการส่งเสริมที่จะค้นหาและมีประสบการณ์กับหลากหลายวิธีฟัง เมื่อพวกเขาโตขึ้นเขาจะแสดงออกถึงสิ่งที่ชอบตามลักษณะและบุคลิกส่วนตัวของเขา เด็กบางคนจะฟังได้ดีเมื่อมีความนิ่งและสงบ (ถึงแม้จะไม่นาน) บางคนเรียนรู้ที่จะฟังผ่านการเดินและมีประสบการณ์ในการทรงสร้างของพระเจ้า บางคนก็ได้ยินเสียงพระเจ้าผ่านเสียงกลองดังหรือเสียงกระทบของฉาบ ในฐานะของผู้นำเราจึงต้องตระเตรียมและวางแผนเพื่อช่วยพวกเขา

 

คุณจะฟังอย่างสงบและนิ่งได้อย่างไร สิ่งนี้ไม่ง่ายสำหรับเด็ก แต่หากมีการเตรียมการอย่างดีและฝึกฝน คุณจะประหลาดใจที่พวกเขาชอบและกลายเป็นช่วงเวลาที่มีค่ามาก

 

เตรียม:

▪ เครื่องหมายหน้าประตู “อย่ารบกวน: กำลังอธิษฐานและสดับฟัง”

▪ พื้นที่พิเศษในห้อง อาจใช้โซฟาหรือบนพื้นที่ปูไว้อย่างพิเศษหรือมุมโคมไฟ 

▪ พื้นที่ตรงกลางหรือโต๊ะที่ประกอบไปด้วยสิ่งของหรือภาพที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อของคุณ

▪ เพลงเบาๆ ประกอบช่วงเวลานี้ 

▪ อธิบายว่าคุณจะทำอะไร

 

1. ให้เด็กมีส่วนในการการเตรียมพร้อมและจัดสิ่งของที่หลากหลาย

2. ย้ำพวกเขาในตอนต้นว่าพระเจ้าชอบที่จะพูดกับพวกเราในหลายรูปแบบ ดังนั้นการอยู่นิ่งและสงบช่วยให้เราได้ฟังพระองค์

3. ใช้วิธีที่เด็กจะเงียบ ยกตัวอย่างเช่น “หนูอาจจำได้ถึงเรื่องที่พวกเราได้ยินล่าสุด...มองไปที่ภาพบนโต๊ะนั้นสิ...คิดถึงสถานที่หรือคนที่พิเศษ...บอกพระเจ้าว่าหนูกำลังคิดถึงอะไรอยู่…”

4. เปิดเพลงเพื่อเป็นสัญญาณเริ่มช่วงเวลาสงบและปิดเพลงเมื่อหมดเวลา ตระหนักถึงความสามารถของเด็กในการอยู่อย่างสงบนิ่ง: 30 วินาทีของความสุข ก็ดีกว่า 2 นาทีที่ถูกบังคับให้อยู่นิ่ง

5. จบด้วยการอธิษฐานสั้นๆ ด้วยบทเพลง หรือ การคุยกันเกี่ยวกับช่วงเวลาสงบนิ่งนี้กับเด็ก ระวังอย่ากดดันให้เด็กต้องตอบ จำไว้ว่าคำตอบที่สำคัญที่สุดนั้นอยู่ในใจและความคิดของพวกเขา พระเจ้าทรงรู้ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้

 

สำหรับโค้ชพระคัมภีร์ ส่วนสำคัญที่สุดของเรื่องซามูเอลอาจไม่ใช่วิธีเหลือเชื่อที่พระเจ้าตรัสกับซามูเอลโดยตรง แต่เป็นการตอบสนองของเอลีในเหตุการณ์นี้ ซามูเอลต้องการความช่วยเหลือเพื่อแยกแยะพระสุรเสียงของพระเจ้าและเพื่อรู้ว่าจะตอบพระองค์อย่างไร เอลีมีประสบการณ์และสติปัญญาที่จะแนะนำซามูเอลให้ได้รู้จักพระเจ้าด้วยตัวของเขาเองและเริ่มต้นใช้ชีวิตด้วยการฟังและตอบสนองพระเจ้าในคำอธิษฐาน ขอให้เราแต่ละคนเป็นอย่างเอลีต่อเด็กของเรา คอยหนุนใจและให้พวกเขาอธิษฐานว่า ‘พระ​ยาห์​เวห์​เจ้า​ข้า ขอ​ตรัส​เถิด เพราะ​ผู้​รับ​ใช้​ของ​พระ​องค์​คอย​ฟัง​อยู่’