ความท้าทาย 13 พระเยซูทรงทำอะไร

การอัศจรรย์ของพระเยซูยืนยันว่าพระเจ้าได้เสด็จเข้ามาในโลกด้วยวิธีการแบบใหม่ การอัศจรรย์นั้นมีหลายรูปแบบตามที่ได้บันทึกไว้ในพระกิตติคุณ ซึ่งการอัศจรรย์เกือบทั้งหมดนั้น เชื่อมโยงกับการเปิดเผยถึงตัวตนที่แท้จริงของพระเยซู

 

การเลี้ยงคน 5,000 คน เป็นการระลึกถึงการจัดเตรียมของพระเจ้าในถิ่นทุรกันดารผ่านทางมานา การอัศจรรย์นี้เกิดขึ้นในบริบทของการสั่งสอนเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า (ลูกา 9:11) เชื่อมโยงกับการที่เปโตรรับรู้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ของพระเจ้า (ลูกา 9:20) คำว่า คริสต์ คือ คำว่าพระเมสสิยาห์ในภาษากรีก หรือ แปลว่า ผู้ที่ถูกเจิม

 

หลังจากที่พระเยซูทรงห้ามพายุ พวกสาวกก็รู้ทันทีว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า (มัทธิว 14:33) คนตาบอดที่มีความเข้าใจมากกว่าผู้นำในสมัยนั้น ก็สัมผัสได้ว่าพระเยซูต้องมาจากพระเจ้าอย่างแน่นอน (ยอห์น 9:33) วิญญาณชั่วก็รู้จักพระเยซูในฐานะพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด (มาระโก 5:7) มารธา ก็มีมุมมองเหมือนอย่างเปโตร คือ เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่เป็นพระเมสสิยาห์ตามพระสัญญา (ยอห์น 11:27) การฟื้นจากตายของลาซารัสก็เป็นภาพสะท้อนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระเยซูเป็นการผสมผสานระหว่างความห่วงใยและสิทธิอำนาจในชีวิตของพระเยซู

 

การอัศจรรย์ต่างๆ แสดงให้เห็นว่าแผ่นดินของพระเจ้ามาถึงแล้ว (ดูลูกา 11:20) เป็นช่วงเวลาแห่งการเยียวยารักษา สันติสุข และ ชีวิต เมื่อบรรดาผู้ที่ต่อต้านพระองค์ถูกจะกำจัดไปจนหมดสิ้น แม้จะไม่ได้มาอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็มาถึงแล้วจริงๆ 

 


เชื่อมโยง: เรื่องราวทั้งห้าในความท้าทายนี้

ความท้าทายนี้ทำให้เราเห็นภาพของพระเยซูในมุมมองที่กว้างขึ้นว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด แผ่นดินของพระองค์เป็นแบบไหน และ พระองค์เชิญชวนให้ผู้ที่ติดตามพระองค์มีส่วนร่วมกับสิ่งใด เรื่องราวทั้งห้านี้แสดงให้เห็นถึงอาณาจักรของพระเจ้าที่แสดงออกมาเป็นการกระทำ พระเยซูทรงสำแดงให้เห็นว่าพระองค์มีฤทธิ์อำนาจที่จะประทานเสรีภาพ การช่วยกู้ และ การเยียวยารักษา (อ่าน ลูกา 4:18-19)

 

เรื่องราวแต่ละเรื่องมีเนื้อหาที่ชัดเจนในตัวเอง ดังนั้น ให้เรียนรู้ตามเนื้อหาที่จัดเรียงไว้ในหนังสือ ระหว่างที่เรียนให้จดบันทึกว่า เรื่องราวแต่ละเรื่องได้แสดงให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจและพระลักษณะของพระเยซูในด้านใดบ้าง ตลอดการเรียนรู้ทั้งห้าเรื่องราวนี้ คุณจะซาบซึ้งในความเมตตาและความห่วงใยของพระเยซู เห็นถึงสิ่งที่ไม่มีใครจะทำได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น และแสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงมีฤทธิ์เหนือธรรมชาติ เหนือความเจ็บป่วย เหนือความพิการ เหนือวิญญาณชั่ว และ เหนือความตาย

 

ดูรูปภาพในหน้าที่ 81 และ 82 ของหนังสือ Big Bible Challenge จะมีภาพของเรื่องราวแต่ละเรื่องและแผนที่แบบคร่าวๆ ของพื้นที่เหล่านั้น โดยจะทำจุดเป็นสัญลักษณ์ไว้ตรงสถานที่ๆ เกิดเหตุการณ์เหล่านั้น ขณะที่คุณอ่านเรื่องราวแต่ละเรื่อง ให้นำเนื้อหาจากพระคัมภีร์มาใช้หาชื่อของเมืองและสถานที่ต่างๆ ถ้าคุณศึกษาบทเรียนนี้ตามลำดับที่เขียนไว้ในหนังสือ Big Bible Challenge คุณก็จะได้คำตอบตามนี้

 

• เรื่องราวที่ 1 (พระเยซูทรงเลี้ยงอาหารประชาชน) เกิดขึ้นที่เมืองเบธไซดา บริเวณทางขวาบน (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ตรงหัวมุมของทะเลสาบกาลิลี

• เรื่องราวที่ 2 (พระเยซูทรงเดินบนน้ำ) เกิดขึ้นหลังจากที่มีพายุใหญ่มาปกคลุมอยู่เหนือทะเลสาบกาลิลี

• เรื่องราวที่ 3 (ชายที่มองเห็นได้) เกิดขึ้นทางตอนใต้ ในกรุงเยรูซาเล็ม ใกล้กับสระน้ำสิโลอัมที่มีชื่อเสียง

• เรื่องราวที่ 4 (ชายที่กลับสู่สภาพดี) เกิดขึ้นบนชายฝั่งของทะเลสาบกาลิลี คราวนี้อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ในเมืองเก-ราซา หรือ แคว้นกาดารา

• เรื่องราวที่ 5 (ลาซารัสฟื้นจากตาย!) เกิดขึ้นในเมืองเบธานี ใกล้กับกรุงเยรูซาเล็ม

 


 

ใคร่ครวญ: ความท้าทายนี้มีความหมายอย่างไรในปัจจุบัน

บางครั้งเรื่องราวเหล่านี้อาจเป็นเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ แต่ดูเหมือนแทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับชีวิตของเราเลย (หรือชีวิตของเด็กเลย) เราต้องมั่นใจว่าเด็กจะไม่มองเรื่องเหล่านี้เป็นแค่โลกในจินตนาการหรือเป็นเพียงเรื่องราวในนิทานเท่านั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องสมมุติตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวแต่ละเรื่องด้วย

 

ตัวอย่าง : เรื่องการรักษาลาซารัส ลองคิดภาพว่าหากคุณอยู่ที่นั่นกำลังร้องไห้คร่ำครวญถึงลาซารัส คุณจะเห็นอะไร ได้ยินอะไร และ ได้กลิ่นอะไรบ้าง? คุณจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นลาซารัสเดินออกมา? คุณจะทำอย่างไร? ถ้าคุณอาศัยอยู่ใกล้หมู่บ้านนั้น คุณจะเชื่อในสิ่งที่คนเหล่านั้นบอกไหม? มีอะไรที่จะโน้มน้าวใจคุณได้?

 

ความท้าทายต่อจากนั้น ก็คือ การเชื่อโยงเรื่องราวเหล่านี้ให้เข้ากับชีวิตประจำวัน คุณอาจต้องแบ่งปันประสบการณ์ของตัวเองว่าพระเจ้าได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออย่างไร เวลาที่คุณต้องการความช่วยเหลือหรือการปกป้อง หรืออาจเป็นเรื่องราวที่คุณอ่านเจอในอินเตอร์เน็ท หรือในวรรณกรรมคริสเตียน (ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่พิเศษ!) สำหรับเด็กที่โตกว่า คุณอาจพูดคุยว่าพระเจ้าทรงสำแดงฤทธิ์อำนาจของพระองค์อย่างไรในปัจจุบัน ซึ่งเรามักไม่ค่อยสังเกตเห็นสิ่งที่พระองค์กำลังกระทำอยู่ จึงเป็นเรื่องดีที่เราจะจัดเวลาเพื่อใคร่ครวญว่าเราจะรับรู้ถึงพระราชกิจของพระเจ้าในแต่ละวันได้อย่างไร

 

ลองคิดว่าพระเยซูทรงสำแดงความเมตตาอย่างไรในแต่ละเรื่องราว พระองค์สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นและรู้สึกเสียใจต่อทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หลังจากนั้น พระองค์ก็เข้าไปพร้อมกับการอัศจรรย์ ตอนนี้ให้เราฝึกสังเกตปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้คนรอบตัว แล้วทูลขอให้พระเจ้ากระทำบางสิ่งที่พิเศษให้กับพวกเขา ไม่แน่ว่าพระองค์อาจเลือกเราให้เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาก็เป็นได้

 

ไขข้อข้องใจ: คำถามที่เด็กๆ อาจถามเกี่ยวกับความท้าทายนี้

 เด็กน้อยในเรื่องฝูงชนที่หิวโหยไปอยู่ที่ไหน?

นี่เป็นเรื่องราวที่ถูกกล่าวถึงในพระกิตติคุณแต่ละเล่ม เด็กๆ ที่คุ้นเคยกับเรื่องนี้จากพระกิตติคุณยอห์นอาจสงสัยว่า ทำไมเรื่องราวที่บันทึกไว้ถึงไม่ตรงกัน พระคัมภีร์ (พระวจนะของพระเจ้า) ถูกเขียนขึ้นโดยคนหลายคน ซึ่งในเหตุการณ์นี้ มัทธิว มาระโก ลูกา และ ยอห์น ได้เขียนถึงสิ่งที่เขาจำได้มากที่สุดเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านั้น ซึ่งไม่ได้ขัดแย้งกับสิ่งที่คนอื่นเขียน เพียงแต่ยอห์นได้เพิ่มรายละเอียดให้มากขึ้น

 

 ถ้าพระเยซูสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า แล้วทำไมจึงพระเจ้าไม่รักษาคนที่เจ็บป่วย คนที่หิวโหย หรือ ปกป้องผู้คนจากภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ล่ะ?

คำถามที่เจ็บปวดเหล่านี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งมีนักอรรถาธิบายและเว็บไซต์มากมายจะช่วยเราไขเรื่องนี้ให้กระจ่าง จำไว้ว่าพระเจ้ายังคงกระทำสิ่งเหล่านี้อยู่ในปัจจุบัน พระองค์ทรงกระทำผ่านมนุษย์อย่างเรา (หมอ หรือ คนที่ช่วยเหลือคนยากจน เป็นต้น) อย่างไรก็ตาม มีหลายครั้งที่เรารอให้พระเจ้ายื่นมือเข้ามาช่วย แต่พระองค์ก็ไม่ได้กระทำเช่นนั้น ดังนั้น ควรระวังเป็นพิเศษสำหรับเด็กที่กำลังอธิษฐานเผื่อคนใกล้ตัวที่กำลังเจ็บป่วย หรือ เด็กที่หัวใจแตกสลายเมื่อได้เห็นภาพของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทางโทรทัศน์ เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวและความบาป นี่ไม่ใช่โลกแบบที่พระเจ้าต้องการ แต่เป็นโลกที่มนุษย์สร้างขึ้น จึงเป็นเรื่องดีหากเราจะอธิษฐานอย่างต่อเนื่องเพื่อขอให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ เป็นเรื่องดีที่เราจะทำงานร่วมกับพระองค์ในการสร้างความแตกต่างและเป็นเรื่องดีหากเราจะพูดคุยกับพระเจ้าถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เมื่อดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่ใส่ใจต่อคำอธิษฐานและความปรารถนาของเรา (พระธรรมสดุดีมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย)

 

 เกิดอะไรขึ้นกับชายที่เป็นเจ้าของหมู?

ดูเหมือนว่าไม่ยุติธรรมเลยใช่ไหม ที่การรักษาชายหนึ่งกลับส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของคนรอบข้าง? บางครั้งพระเยซูอาจแสดงให้เห็นว่าชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งมีค่ามากแค่ไหน เป็นคุณค่าที่พระเยซูมองเห็นในตัวของชายคนนี้ที่ทุกคนต่างหวาดกลัว อย่าลืมว่าเราไม่รู้ตอนจบของเรื่องนี้

 

 เกิดอะไรขึ้นกับหมูที่น่าสงสารเหล่านั้น?

เรื่องนี้ก็ดูไม่ยุติธรรมเช่นกัน หมูเป็นสัตว์ที่ปกป้องตัวเองไม่ได้ มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างพระเยซูกับวิญญาณชั่วและชายคนนั้นเลย คนที่เห็นเหตุการณ์ก็กังวลใจเรื่องหมูเหล่านั้น (ข้อ 16) ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอธิบายว่าเพราะอะไรพระเยซูจึงดูเหมือนว่าไม่ทรงห่วงใยสัตว์เหล่านั้นที่พระองค์ทรงสร้าง มาดูว่าเรารู้อะไรเกี่ยวกับพระเจ้าบ้าง เรารู้ว่าพระเจ้าทรงห่วงใยสัตว์ต่างๆ เพราะสัตว์เหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของ “สิ่งดี” ที่พระองค์ทรงสร้าง เมื่อพระเจ้าสัญญากับโนอาห์ว่าจะปกป้องโลกของพระองค์ พระองค์ไม่ได้หมายถึงแค่มนุษย์เท่านั้น แต่รวมถึงสัตว์ทุกชนิดด้วย (ปฐมกาล 9:9-10) แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ยิ่งใหญ่กว่าที่เราจะจินตนาการได้ เป็นการต่อสู้ระหว่างพลังงานที่เหนือธรรมชาติของความดีและความชั่ว การสังเวยชีวิตของหมู่เหล่านั้นกลายเป็นผลกระทบที่น่าเศร้าจากการต่อสู้ที่เกิดขึ้น

 

 เพราะเหตุใดพระเยซูจึงโกรธทั้งๆ ที่รู้ว่าลาซารัสกำลังจะเป็นขึ้นมาจากความตาย?

พระเยซูเป็นมนุษย์ เรารู้ว่าพระเยซูมาเยี่ยมครอบครัวนี้เป็นประจำ พระองค์สะเทือนพระทัยเมื่อเห็นพี่สาวและมิตรสหายของลาซารัสกำลังเศร้าเสียใจ แต่ที่พระองค์โกรธก็เพราะพระองค์รู้ว่าจะมีบางคนในหมู่คนเหล่านั้นที่จ้องจับผิดในทุกสิ่งที่พระเยซูกระทำ (หรือละเลยที่จะไม่กระทำ)

 

 


คุย: กับพระเจ้า

พระเยซูทรงสำแดงให้เห็นถึงความรักและความเมตตาที่มีต่อผู้คน พระองค์ทรงห่วงใยพวกเขาและตอบสนองความต้องการของคนเหล่านั้น การอัศจรรย์ต่างๆ สำแดงให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจที่เหนือกว่าอำนาจของโลกนี้ เหนือกว่าความเจ็บป่วย แม้แต่ความตาย

 

ช่วยกันเขียนชื่อของสมาชิกในครอบครัว เพื่อน และ คนที่คุณได้ยินว่าเขาต้องพระกรุณาจากพระเยซู

 

เมื่อคุณเขียนชื่อออกมาได้อย่างน้อยห้าคนแล้ว ให้เด็กเอามือวางลงบนกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่ง แล้วกางนิ้วออก เอาดินสอขีดเส้นรอบมือของเด็ก แล้วตัดออกมาให้เป็นรูปมือ ทำอีกหนึ่งอัน คราวนี้ให้เด็กเป็นคนวาดรูปมือของคุณ อธิบายให้เด็กเข้าใจว่า คุณจะใช้มือกระดาษนี้เพื่อพูดคุยกับพระเจ้า

 

ดูรายชื่อที่คุณเขียนไว้ พับนิ้วลงหนึ่งนิ้วเมื่อคุณอธิษฐานเผื่อคนๆ นั้น ใช้โอกาสนี้อธิษฐานเผื่อแต่ละคนที่เราเขียนชื่อไว้ ทูลขอพระเยซูทรงช่วยคนเหล่านั้นไม่ว่าเขากำลังเผชิญกับเรื่องอะไรอยู่ ถ้าคุณมีรายชื่อมากกว่าห้าคน ให้คลี่นิ้วมือออก แล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง! แล้วจบด้วยการอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าสำหรับฤทธิ์อำนาจของพระองค์ที่ทรงเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้